0

เคล็ดลับการใช้ บัตรเครดิต แบบสุดคุ้ม

Posted by Banpote on 7/13/2552
ใครที่ต้องใช้บัตรเครดิตอยู่เป็นประจำแล้วกลัวว่าไม่คุ้ม วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเคล็ดลับการใช้บัตรเครดิตแบบสุดคุ้มมาฝากกัน...

1. จ่ายหมด ไม่มียอดค้างชำระ แค่นี้บัตรเครดิตก็ไม่มีทางได้กินดอกเบี้ยแล้ว (อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต ร้อยละ 18 ต่อปี)

2. อย่าติด Late Charge ถ้าจ่ายทั้งหมดไม่ได้ ก็จ่ายเท่ายอดขั้นต่ำ แต่จ่ายตามกำหนด ถ้าจ่ายช้ากว่าวันนัดชำระ จะเสียค่าปรับที่แพงขึ้นอีก 100-200 บาท หรือเลือกใช้บัตรเครดิตที่ออกโดยสถาบันการเงินของไทย เพราะเดี๋ยวนี้จะไม่มีค่าปรับหากชำระช้าอีกแล้ว

3. อย่าเบิกเงินสดด้วยบัตรเครดิต ประเภทวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด เพราะจะเสียค่าธรรมเนียมแพงประมาณ 3% ของเงินสดที่เบิกออกมา รวมเงินต้น และดอกเบี้ยแล้ว จ่ายหนักแน่

4. ไม่ซื้อของกับร้านที่คิดค่าบริการเพิ่มเมื่อใช้บัตรเครดิต บางร้านชาร์จเพิ่ม 2-5% แนะนำว่าไปซื้อร้านอื่นดีกว่า หรือทางร้านค้าจะไม่มีสิทธิ์มาชาร์จเพิ่มอีกแล้ว

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองให้มาใช้บัตรเครดิตให้คุ้มกันดีกว่า.

ข้อมูลจาก : เดลินิวส์

|
0

รู้ทันบัตรเครดิต

Posted by Banpote on 6/21/2552
รู้ทันบัตรเครดิต

ทุก วันนี้ ธุรกิจบัตรเครดิตมีการแข่งขันกันสูง มีโปรโมชั่นทั้งในเรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือค่าธรรมเนียมรายปี อัตราดอกเบี้ยที่โฆษณาว่าต่ำกว่าผู้ให้บิการรายอื่น รวมถึงเรื่องของระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยด้วย ว่าธนาคารใดจะให้ระยะเวลานานกว่ากันซึ่งก็มีตั้งแต่ 45 ไปจนถึง 55 วัน แต่คุณเคยสังเกตหรือไม่ ว่าระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่ว่านี้มีวิธีคิดอย่างไร เท่าที่สังเกต ผู้บิโภคจำนวนไม่น้อยมักจะคิดว่า ระยะเวลาปลอดอกเบี้ยฯ 45 วัน ถ้าใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้า วันที่ 2 ม.ค. ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย ก็น่าจะนับไปจนถึงวันที่ 16 ก.พ. จึงจะครบกำหนดชำระเงิน

แต่หากกลับไป อ่านสัญญาการใช้บัตรเครดิตให้ดีๆ (ท่านที่ยังเก็บสัญญา หรือ โบชัวร์ของบัตรเครดิตไว้ กรุณานำมาตรวจสอบ) จะเห็นว่าทุกธนาคาร จะให้ระยะเวลาในการชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน หากชำระตามกำหนดเต็มจำนวน โดยนับถัดจาก วันที่สรุปยอดค่าใช้จ่าย ไม่ใช่นับจากวันที่ใช้บัตรเครดิต ตามที่ผู้บริโภคเข้าใจ ซึ่งวิธีการนับที่ต่างกันนี้ จะมีผลต่อระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยอย่างมาก พูดอย่างนี้อาจจะฟังเข้าใจยาก ดูตัวอย่างแล้วจะเข้าใจชัดเจนขึ้น

ตัวอย่าง ธนาคารกำหนดสรุปยอดค่าใช้จ่ายทุกวันที่ 9 ของเดือน ดังนั้น ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยฯ 45 วัน ซึ่งนับจากวันที่สรุปยอด ก็จะไปครบกำหนดในวันที่ 24 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่ต้องชำระเงิน หากชำระหลังจากวันนี้ ธนาคารก็เริ่มคิดดอกเบี้ย ดังนั้น แม้ผู้บริโภคจะใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าเมื่อวันที่ 2 ม.ค. แต่ก็ต้องชำระเงินภายในวันที่ 24 ม.ค. ซึ่งถ้าตามความเข้าใจของผู้บริโภค แบบนี้ก็เท่ากับมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยนับจากวันที่ใช้บัตรแค่ 22 วันเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยฯ ที่ถูกต้องก็ต้องว่ากันตามสัญญา ซึ่งธนาคารก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยนับจากวันที่สรุปยอดค่าใช้จ่าย ดังนั้น ถ้าใช้บัตรเครดิตให้ได้ในระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยนานที่สุด ก็ต้องใช้หลังจากวันที่สรุปยอดค่าใช้จ่ายใหม่ๆ

จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าของที่อยากจะได้ ยังไม่จำเป็นต้องรีบใช้ ยังสามารถรอได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรีบซื้อวันที่ 2 ม.ค. แต่ควรรอให้สรุปยอดค่าใช้จ่ายเสร็จ (9 ม.ค.) แล้วค่อยไปซื้อเอาเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ก็ได้ซึ่งแบบนี้กว่าจะครบกำหนดก็วันที่ 23 ก.พ. โน่น คิดเป็นระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยตั้ง 43 วัน เท่ากับได้ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเพิ่มอีกตั้ง 21 วันเพียงแค่ชะลอการซื้อของออกไปอีกไม่กี่วัน เกร็ดความรู้ผู้บริโภคอันนี้ก็เอาไว้ใช้สำหรับถ้าซื้อของชิ้นใหญ่ๆ ราคาแพงด้วยบัตรเครดิต ก็ควรจะซื้อหลังจากวันที่เพิ่งสรุปยอดค่าใช้จ่าย เพื่อที่จะได้ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมนานที่สุด.

( ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร, นิตยสาร teen&family ปีที่ 10 ฉบับที่ 118 มกราคม 2548 )
จาก : หนังสือนิตยสารดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อคนไทยหลายๆ คน คุณจึงไม่ควรพลาด !
Last Updated on Friday, 03 April 2009 16:08

|
0

ข้อน่ารู้ของ บัตรเครดิต

Posted by Banpote on 6/21/2552 in
ข้อน่ารู้ของบัตรเครดิต

ในการดำรงชีวิตปัจจุบันบัตรเครดิตถือว่ามีความจำเป็นในด้านการเงิน เพราะให้ความสะดวกในการพกพา เราไม่ต้องมีเงินสดติดตัวมากๆ มีบัตรเครดิตเพียงใบเดียวก็สามารถจับจ่ายใช้สอยได้สะดวก ยิ่งกว่านั้นเวลาไปต่างประเทศก็ไม่ต้องเสียเวลาไปแลกเงิน เพราะนอกจากจะต้องค่าคอมมิชชั่นในการแลกเปลี่ยนเงินแล้ว หากกลับมาถึงบ้านเงินที่แลกไปใช้ไม่หมดก็ต้องมาแลกกลับเป็นเงินบาทก็เสียค่า คอมมิชชั่นอีกต่อหนึ่ง ปัจจุบันนี้คุณสามารถเซ็นบัตรเครดิตได้ไม่เกินวงเงินที่ผู้ออกบัตรกำหนดให้ อย่างไรก็ตาม การใช้บัตรเครดิตมีข้อพึงระวังดังต่อไปนี้

1. บัตรเครดิตควรใช้เฉพาะยามจำเป็น เพราะถ้าเราไปเบิกเงินหรือเซ็นซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ มากๆ ก็หมายความว่าเราเป็นหนี้มากซึ่งเมื่อครบเดือนก็จะต้องจ่ายคืนมาก ถ้าไม่จ่ายคืนให้หมดก็จะถูกเก็บดอกเบี้ยสูงถึง 18.5% ต่อปี บัตรเครดิตบางชนิดที่ออกโดยบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร (คือบัตรเครดิตของ Non Bank) ก็อาจมีการหมกเม็ดเก็บค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยรวมกันปีหนึ่งสูงถึง 54% ดังนั้น การใช้บัตรเครดิตก็เพื่อความสะดวกในการซื้อ แต่ไม่ใช่เป็นบัตรที่จะสร้างหนี้ให้เราจำนวนมาก

2. ผมมีบัตรเครดิต จากแบงก์กรุงเทพแล้วผมเปิดบัญชีสะสมไว้ พอสิ้นเดือนก็ให้เขาตัดเงินจากบัญชีไปเลย ทำให้แต่ละเดือนแม้ผมจะเซ็นการ์ดไปบ้างก็ไม่เคยต้องจ่ายดอกเบี้ย จึงมีความสะดวกและประหยัด ผมไม่ชอบจ่ายดอกเบี้ยหรือเป็นหนี้ใคร

3. คน เราควรมีบัตรเครดิตเพียงใบเดียว ถ้าจำเป็นมากๆ ก็มีไม่เกิน 2 ใบ การมีบัตรหลายใบทำให้ใช้เงินเติบเปลืองค่าใช้จ่ายและเป็นหนี้มาก ไม่ควรเซ็นบัตรใบหนึ่งเพื่อไปจ่ายหนี้บัตรอีกใบหนึ่ง

4. ควรเลือกบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารเพราะเราเสียดอกเบี้ยถูกกว่าบัตรที่ออกโดย Non Bank อาจคิดดอกเบี้ยแพงมากถึง 50% ต่อปี

5. หาก ลูกๆ ของคุณจะขอบัตรเสริมก็ให้เฉพาะคนที่โตมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และจำกัดวงเงินไว้ เช่น 50,000 บาท อย่าให้มาก เมื่อลูกจบการศึกษาและทำงานมีรายได้เป็นของตัวเองแล้ว ก็ควรยกเลิกบัตรเสริมนั้น โดยให้ลูกไปขอบัตรเครดิตของตนเอง ดังนี้จะช่วยสอนให้ลูกมีวินัยทางการเงิน รู้จักคุณค่าและวิธีประหยัดรายจ่าย

6. คุณต้องระลึกว่าหากเป็นหนี้ บัตรเครดิตมากและไม่จ่ายตามกำหนด นอกจากจะถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยแพงแล้ว ชื่ออาจเข้าไปอยู่ในบัญชีดำของศูนย์ข้อมูลเครดิต (Credit Bureau) ซึ่งทำให้คุณขอสินเชื่อหรือกู้ยืนเงินสำหรับกิจการอื่นๆ ยาก เช่น ขอกู้เงินซื้อบ้านหรือจัดหาทุนไปใช้ในการทำธุรกิจ การเงินของคุณจะติดขัดไปทั้งระบบ

7. พ่อแม่ต้องสอนลูกให้ขยันขันแข็ง ซื่อสัตย์สุจริต และมัธยัสถ์ รู้จักว่าอะไรควรจ่ายอะไรไม่ควรจ่าย สำหรับลูกที่ทำงานมีรายได้ของตัวเองแล้ว จำเป็นจะต้องมีเงินออมเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และในยามตกยาก คนเราไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงควรระมัดระวังในเรื่องการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น พ่อแม่จะต้องสอนให้ลูกหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมเป็นประจำ ต้องเก่งภาษาอังกฤษ สมัยนี้โลกเราพัฒนาไปเร็วมาก ในแต่ละปีมีบัณฑิตจบใหม่นับแสนคน ดังนั้น คนรุ่นหลังจะเข้ามาแข่งขันทำให้คนรุ่นก่อนหาเงินยากยิ่งขึ้น ถ้าไม่หมั่นหาความรู้เพิ่มเติมแล้วสู้เด็กรุ่นหลังไม่ได้ การสอนให้ลูกทำงานตั้งแต่เล็กๆ เป็นการเสริมความรู้ สร้างวินัย ทำให้ลูกตระหนักต่อหน้าที่ ลูกควรช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก่อนก็ได้ และเมื่อโตแล้วจึงให้ทำงานที่ใช้ฝีมือมากขึ้น รวมทั้งส่งไปฝึกงานกับผู้อื่น เพื่อให้รู้ว่าการเป็นลูกจ้างลำบากไหม โลกที่แท้จริงเป็นอย่างไร

จาก : สำนักงานบัญชี
Friday, 30 May 2008 16:01

|
0

โคตรยาก..ส์ กว่าจะได้บัตรใบแรก

Posted by Banpote on 6/19/2552 in
ไม่รู้ใครจะเหมือนผมหรือเปล่า ? สมัยก่อนนู้น.... ลองนึกตามไปด้วยให้ภาพเบลอ ๆ นะ บางบ้านยังเป็นโทรทัศน์แบบขาวดำอยู่เลย สมัยน้าชาติเป็นนายก ฯ ยุคช่วงฟองสบู่แตก สมัยนี้เรียกยุคไข่แตก จุกไม่แพ้กัน ตอนนั้นอยากจะมีบัตรเครดิตไว้ยืดอวดสาว ๆ ซักใบมันยากซะยิ่งกว่าทำเรื่องผ่อนรถซะอีก จริง ๆ นะ อวดสาวได้จริง ๆ เพราะมันทำยากมาก " อภิสิทธิ์เฉพาะผู้มีระดับ " เห็นเขาโฆษณาสโลแกนกันอย่างนี้ ( ไม่ใช่อภิสิทธิ์ที่เป็นนายก ฯ นะ ไม่เกี่ยวกัน ผมเลิกเล่นการเมืองแล้ว ) ลองคิดดูสิ ไหนจะต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำเท่านั้น รายได้เท่านี้ ต้องใช้ไอ้นั่น ต้องมีไอ้นี่ เรื่องมากกว่าสมัยนี้เยอะ ใครที่มีบัตรเครดิตมาโชว์ มันเทห์ซะยิ่งกว่าใส่ทองหนักห้าบาทซะอีก ถึงตอนนั้นบาทละหกพันกว่า ๆ ก็เหอะ ตอนนั้นอย่าว่าแต่เงินเดือนเลย งานจะทำยังแทบไม่มี เศรษฐกิจแย่มาก ๆ จนรัฐบาลออกมาบอกว่า " ถ้าท่านไม่ืเลือกงาน เราจะมีงานทำกันทุกคน " พวกเพื่อน ๆ ของผมเรียนจบมาใหม่ ตกงานกันแทบทั้งรุ่นสงสัยมันคงไม่เชื่อรัฐบาลกัน บางคนบ้านมีตังส์หน่อยก็ไปเรียนต่อ บางคนก็ไปบวชก่อน รอให้เศรษกิจมันดีขึ้นแล้วค่อยออกมาหางานทำกันใหม่ ป่านนี้ยังไม่สึกออกมาเลย ใครที่นึกภาพไม่ออกลองไปหาอ่านประวัติ ฯ เศรษฐกิจไทยย้อนหลังกันดูช่วงปี 2540 หรือปีสี่หนึ่งนี่แหล่ะ ก็มันนานมากแล้วเลยไม่แน่ใจว่าปีไหนแน่

อ้าว..ไปไหนแล้วเนี่ย ? เข้าเรื่องบัตรเครดิตกันต่อเถอะ ผมเป็นคนที่หน้าตาดี เอ้ย..ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าโชคดีกว่าคนอื่นที่ได้งานทำในบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถบสาธร ( ผมสะกดไม่ผิดหรอก เมื่อก่อน " สาธร " ยังใช้ ธ.ธงอยู่ ) เงินเดือนไม่มี มีแต่ค่าแรงรายวัน แต่รับทีเดียวตอนสิ้นเดือน งงมั้ย ทำก็ทำวะ เพราะผมเชื่อรัฐบาล แล้วในเมื่อบัตรเครดิตรมันทำยากแล้วผมได้มันมายังไง ก็มาจากไอ้บัตรผ่อนของนี่ล่ะ คิดว่าฮิตที่สุดแล้วในตอนนั้น ควักออกมาโชว์ได้ในผับ แว๊บ ๆ ให้พวกเขาใจผิดว่าเป็นบัตรเครดิตช่วงนั้นบัตรพวกนี้กำลังเปิดตัวกันเยอะทั้ง อีซี่บาย , อีอ้อน AEON บรรดา อี ๆ ทั้งหลายที่มาประเคนให้ถึงที่ มานึกดูอีกที ผมก็เริ่มเป็นหนี้นับตั้งแต่วันนั้นมา ส่งหมด เอาใหม่ ส่ง ๆ เอา ๆ อยู่อย่างนี้ ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเหมือนมนต์สะกด ก็อีตรง 0% ไม่เสียดอกนี่แหล่ะ ซื้อเครื่องซักผ้าให้แม่แบบอัตโนมัติแทนแบบอัตโนมือ ซื้อตู้เย็นมาแช่เบียร์ ความสุขเล็ก ๆ หลังเลิกงาน จนกลายเป็นลูกค้าที่ดีไปโดยปริยาย จนได้ยกคุณภาพ Upgrade จากบัตรผ่อนธรรมดาของเป็นบัตรเครดิต พอได้ใบแรกไม่นาน ใบที่สอง ที่สาม ก็ตามมาติด ๆ คราวนี้มันไม่ยอมดูหลักฐานอะไรเลย แค่มีบัตรเครดิตใบเก่าก็พอ ตอนนั้นค่าธรรมเนียมก็ฟรี ค่ารายปีก็ฟรี อะไร ๆ ก็ฟรีทั้งหมด ก็เลยทำซะทั้งหมดเกือบจะทุก ธนาคาร ก็อยากได้มานานแล้วนี่ ! ตอนนี้ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง ยกเลิกบ้าง เหลืออยู่ไม่กีใบ แล้วคุณล่ะได้บัตรครั้งแรกมาเมื่อไรครับ

|
0

ใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัย ง่าย ๆ

Posted by Banpote on 6/19/2552 in
บัตรเครดิต มีข้อดีอยู่หลายข้อค่ะ ไม่ว่าจะใช้แทนเงินสด สามารถเบิกถอนเงินได้ล่วงหน้าในสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน มีโปรโมชั่น ที่ช่วยให้เราประหยัดสตางค์มากยิ่งขึ้น หรือ แม้แต่เป็นตัวช่วยฉุกเฉินยามออกเดินทางไกล แต่ข้อเสียของบัตรเครดิตก็มีมาก เช่นกัน ถ้าคุณใช้อย่างไม่ระมัดระวัง เพราะฉะนั้นนี่เป็นข้อมูลคร่าว ๆ ที่น่าจะช่วยให้คุณใช้บัตรเครดิตได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

1.ศึกษา บัตรเครดิตที่ถืออยู่อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมในการใช้บัตร การใช้บริการ ค่าบริการรายปี โปรโมชั่นของบัตรแต่ละประเภท

2.หมั่นติดต่อ เช็คข้อมูลกับธนาคารเพื่อจะได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

3.ใช้ บัตรเครดิตชำระค่าสินค้า หรือบริการในระยะปลอดหนี้ ซึ่งคือหลังจากวันที่มีการสรุปยอดการใช้จ่ายทุกครั้ง เพราะถ้านำบัตรใช้ในช่วงใกล้วันตัดยอด จะได้เวลาในการปลอดหนี้น้อย และต้องชำระเงินเร็ว

4.ตรวจสอบความถูกต้องของรายการสินค้า และจำนวนเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้ง

5.คำนึง ถึงความสามารถในการชำระเงินคืน โดยทั่วไปแล้วควรจะจำกัดยอดการใช้บัตรไว้ที่20 %ของรายได้หลังหักภาษี นั่นคือควรพิจารณาว่าสามารถใช้เงินได้เท่าไหร่ มากกว่านั่งคำนวณว่าคุณจะได้รับเครดิตเท่าไหร่

6.ควรจำกัดตัวเองด้วยการใช้บัตรเพียงใบเดียว เช่น บัตรของห้างสรรพสินค้าที่ชอบ หรือบัตรที่ใช้ในสถานีบริการน้ำมัน

7.ใช้บัตรเครดิตในการซื้อเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ส่วนสินค้าที่อำนวยความสะดวก หรือฟุ่มเฟือยนั้นอย่าดีกว่าค่ะ

8.ชำระหนี้เต็มตามใบแจ้งยอด และตรงตามกำหนดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระ

จาก : นิตยสารขวัญเรือน ฉบับที่ 869 ปักษ์แรก กุมภาพันธ์ 2551 หน้า.311

|
0

วิธีเลือก บัตรเครดิต

Posted by Banpote on 6/16/2552 in ,
วิธีเลือก บัตรเครดิต
ควรจะเลือกบัตรเครดิต ที่เสียดอกเบี้ยต่ำที่สุด และระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยนานที่สุด ทั้งนี้ต้องดูเงื่อนไขในการสมัครบัตรเครดิต ในกรณีทำงานบริษัท เช่น เงินเดือนขึ้นต่ำเท่าใหร่ การรับเงินเดือนต้องผ่านธนาคาร ตรวจสอบคุณสมบัติของบัตรเครดิตที่คุณต้องการ เช่น ใช้ได้ทั่วโลก หรือ กดเงินสดโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เลือกชนิดของบัตรเครดิตที่คุณต้องการ เช่น วีซ่า มาสเตอร์ เลือกบัตรเครดิต ที่ค่าธรรมเนียมต่ำไว้ก่อน บางธนาคาร มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมด้วย สำรวจร้านค้าที่เป็นสมาชิกของบัตรเครดิตที่เราต้องการทำ บัตรเครดิตไทย จะอนุมัติง่ายกว่า แต่ระยะเวลาพิจารณาเอกสารนานกว่า บัตรเครดิตของต่างประเทศ จะอนุมัติยากกว่า แต่ระยะเวลาพิจารณาเอกสารสั้นกว่า ขึ้นอยู่กับการให้บริการจากทางสถาบันการเงิน และโปรโมชั่นของสถาบันการเงินและบัตรเครดิต แต่ละประเภท

|
0

เทคนิคการใช้ บัตรเครดิต

เทคนิคการใช้ บัตรเครดิต
เทคนิคการใช้บัตรเครดิตให้เกิดประโยชน์ " การใช้จ่ายผ่าน บัตรเครดิต "
เชื่อว่าถ้าถามคนไหนที่ว่าใครไม่มีบัตรเครดิตบ้าง คงจะมีส่วนน้อยที่ตอบว่าไม่มีเพราะว่าบัตรเครดิต มีไว้ก็สามารถช่วยให้ผู้ถือบัตรมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้เงินสูงสุด และไม่ต้องกังวลที่จะต้องพกเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมาก ถ้าพกมากก็เป็นภัยกับตัวเอง สำหรับผู้ที่ตกลงใจจะทำบัตรเครดิต ควรจะต้องอ่านรายละเอียด และเงื่อนไขให้เข้าใจมากที่สุด ตั้งแต่วงเงิน อัตราดอกเบี้ย และอีกจิปาถะ เพื่อการใช้บัตรเครดิต อย่างมีประโยชน์สูงสุดแล้วที่นี้เราจะใช้จ่ายบัตรเครดิต ให้มีประโยชน์สูงสุดกับเรายังไงมาดูกัน

ใช้จ่ายบัตรเครดิต เพื่อ…
การใช้บัตรเครดิต อย่างคุ้มค่าว่า พยายามใช้สิทธิประโยชน์ของบัตรให้เต็มที่ บัตรบางใบก็ลดค่าอาหารได้ หรือได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆมากมาย ดังนั้นก่อนใช้บัตรเครดิต เราควรใช้บัตรเครดิตกับสินค้าหรือบริการที่สามารถควบคุมการจ่าย ได้เอง ซึ่งจะเป็นการให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ดังรายการต่อไปนี้

ค่าน้ำ-ค่าไฟ หรือ อีกสารพัน

ตัวเลขของแต่ละเดือนมันคงไม่ห่างไกลจากกันเท่าไหร่นัก ฉะนั้นคุณควรรวบรวมยอดแล้วเอาไปจ่ายทีเดียว เพราะแน่นอนว่าการจ่ายแบบนี้ยังไปช่วยเติมยอดสะสมให้สูงปรี๊ดได้ดีอีกด้วย

ค่าน้ำมัน
ที่ถือเป็นเรื่องปกติที่รถเราจะต้องเติมอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะจ่ายเงินสดมันก็อยู่ในมูลค่าเท่ากันอยู่ดีเพราะฉะนั้น เก็บเงินสดเอาไว้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า แล้วใช้บัตรเครดิตจ่ายแทน และยังช่วยให้เราได้คะแนนเยอะ ๆ เพื่อไปแลกรับของที่เราต้องการได้อีกด้วย

การใช้จ่ายของในซูเปอร์มาร์เก็ต

อย่างน้อยเราก็ต้องเข้าไปจับจ่ายใช้สอยข้าวของจิปาถะอย่างน้อยเดือนละ 1 – 2 ครั้งอยู่แล้ว การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต จะช่วยทำให้คุณสาว ๆ เพิ่มความรอบคอบและควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างดีเลย เพราะใบแจ้งจะต้องแจ้งยอดในแต่ละเดือนทำให้เราสามารถเช็กค่าใช้จ่ายได้ว่าใน แต่ละเดือนใช้มากใช้น้อยอย่างไร และรู้ว่าควรจะลดลงตรงไหนเพื่อเป็นการประหยัดในคราวต่อ ๆ ไป หลังจากใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้วสิ่งสำคัญคือ การชำระเงินควรชำระเต็มจำนวน เพราะดอกเบี้ยแพงนะ ขอบอก.... และในทางกลับกัน การใช้บัตรเครดิต อย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้คุณตกอยู่ในความเดือดร้อน

มีหลายกรณีที่ผลของการใช้บัตรเครดิต กลายเป็นภาระหนักทางการเงินของคุณแทนที่ จะส่งเสริมการเงิน ส่วนตัวของคุณ เพราะฉะนั้นควรใช้อย่างพอเพียงและเพียงพอ ตามรอยพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่า " เศรษฐกิจพอเพียง " จะดีที่สุด

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/2315.html

|
0

ประเภทของ บัตรเครดิต

ประเภทและลักษณะของบัตรเครดิต
บัตรเครดิต สามารถจำแนกได้หลายประเภท หากจำแนกตามขอบเขตของการใช้บัตร

บัตรเครดิต ประเภทที่ 1. บัตรเครดิต ที่สามารถใชได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (International Credit Card) เช่น บัตรเครดิต VISA บัตร Master บัตร Dinerัs Club และบัตร American Express เป็นต้น

บัตรเครดิต ประเภทที่ 2. บัตรเครดิต ที่ใช้ได้เฉพาะภายในประเทศ (Local Credit Card) เช่น บัตรเครดิตธนาคาร กรุงศรีอยุธยา

บัตรเครดิต ประเภทที่ 3. บัตรเครดิต ที่ใช้เฉพาะร้านค้า (Store Card หรือ Private Label) ได้แก่ บัตรเครดิตเซ็นทรัล บัตรเครดิตเพาเวอร์บาย บัตรเครดิตเทสโก้โลตัส เป็นต้น

นอกจากนี้ บัตรเครดิตยังนิยมจำแนก ลักษณะได้อีกบางประเภท ดังนี้ Charge Card ได้แก่ บัตรเครดิต ประเภทที่ผู้ถือบัตรจะต้องชำระยอดหนี้สิน ให้เสร็จสิ้นไปภายในระยะเวลาอันสั้นที่กำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติได้แก่ 1 เดือน บัตรเครดิตประเภทนี้ มีจุดประสงค์ในการใช้สอยเพื่อชำระค่าบริการการเดินทางและท่องเที่ยวพักผ่อน ( Travel and Entertainment Card ) เป็นสาคัญ

บัตรเครดิต ประเภทนี้มักไม่ค่อยจำกัดวงเงิน ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า กลุ่มเป้าหมายคือนักบริหารหรือบุคคลผู้มีฐานะทางการเงินดี ที่ต้องเดินทางหรือต้องเลี้ยงรับรองแขกอยู่เป็นประจำ บัตรเครดิตประเภทนี้ ได้แก่ บัตร Dinerัs Club และบัตร American Express Card ( AMEX )

Credit Card หรือ Bank Card
เป็นบัตรเครดิต ที่มักออกโดยสถาบันการเงินออกร่วมกับสถาบันบัตรเครดิตต่างประเทศ (International Credit Card) หรือสถาบันการเงินออกบัตรเครดิตเป็นของตนเอง ( Local Credit Card ) บัตรเครดิตนี้ นอกจากมีลักษณะการชำระเช่น เดียวกับ Charge Card คือต้องชำระยอด หนี้สินให้เสร็จสิ้นไปภายในระยะเวลาอันสั้นที่กำหนดไว้

ซึ่งโดยปกติ ได้แก่ 1 เดือนหรือ 30 วัน โดยไม่เสียดอกเบี้ย ผู้ถือบัตรเครดิต ยังสามารถเลือกชำระเงินคืนแต่เพียงบางส่วนได้ด้วยการใช้สินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit) โดย เสียดอกเบี้ยด้วยก็ได้ ในกรณีนี้ยอดค้างชำระของบัตรเครดิตจะแปลงสภาพเป็นเงินกู้ที่ต้องผ่อนชำระ เป็นรายงวด อันเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ออกบัตรอีกทางหนึ่ง

และ อีกด้านหนึ่งเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรโดย บัตรเครดิต ประเภทนี้มีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายในการชำระค่า สินค้าและบริการสําหรับการดำรง ชีวิตประจำวันเป็นสำคัญ มักมีการจำกัดวงเงินให้สินเชื่อ (Credit Line) ไว้ในระดับหนึ่ง บัตรเครดิตชนิดนี้ ได้แก่ บัตร VISA บัตร Master Card บัตรเครดิต ธนาคารต่าง ๆ เป็นต้น

นอกจากนั้น บัตรเครดิต ประเภท Bank Card นี้ ยังสามารถออกร่วมกับบริษัทห้างร้านต่างๆ ซึ่งนิยมเรียกว่า Affinity Card หรือ Co-Brand Card โดย ผู้ถือบัตรลักษณะนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ หรือส่วนลดจากบริษัทห้างร้านที่ออกบัตรเพิ่มเติมตามที่กำหนดด้วย เช่น บัตรเครดิตที่ธนาคารออกร่วมกับห้างสรรพสินค้าซึ่งนอกจากลูกค้าจะได้รับ เครดิตแล้วยังใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าบางประการตามที่ห้างสรรพสินค้า กำหนดได้อีกด้วย

Store Card หรือ Private Label
หมายถึง บัตรเครดิต ที่ร้านค้าซึ่งโดยมากจะเป็นร้านสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เป็นผู้ออกให้ แก่ลูกค้าโดยตรง เพื่อใช้ซื้อสินค้าและบริการในเครือข่ายหรือในสถานประกอบการ ของตนซึ่งมีลักษณะคล้ายบัตรเครดิต ยุคแรกเริ่มนั่นเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการขายของร้านค้าหรือของห้างนั้นๆ

Cash Card
หมายถึง บัตรเครดิต ที่เมื่อผู้ถือบัตรนำไปแสดงต่อธนาคารที่เกี่ยวข้องแล้วสามารถเบิก เงินสดล่วงหน้า ได้จากธนาคารผู้ออกบัตร หรือเบิกเงินสดล่วงหน้าได้โดยเบิกเงินจากเครื่อง ATM ที่เข้าร่วมให้บริการ ซึ่งผู้ใช้จะต้องเสียค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

Debit Card
เป็นบัตรที่ไม่มี สินเชื่อ ใช้เบิกเงินสดหรือใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ โดยร้านค้าจะเรียกเก็บด้วย บริการ แม้บัตรเดบิตจะมีลักษณะที่ไม่ หักบัญชีของผู้ถือบัตรโดยตรงจากธนาคาร หรือหักผ่านระบบเครือข่ายของสถาบันบัตรเครดิตเหมือนกับบัตรเครดิต 5 ประเภทข้างต้น

แต่ในปัจจุบันตามประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาสำนักงานคุ้ม ครองผู้บริโภค ซึ่งประกาศให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา กำหนดให้บัตรเครดิตหมายความรวมถึงบัตรเดบิตด้วย ความหมายของบัตรเดบิต บัตรเครดิต อาจมีลักษณะหนึ่งลักษณะใดหรือหลายลักษณะร่วมกันตามที่ได้อธิบาย ข้างต้นไว้ก็ได้

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ( สคบ.) ได้ให้ความหมายของบัตรเครดิตไว้ คือ บัตรที่ผู้ประกอบธุรกิจออกให้แก่ผู้บริโภคตามหลักเกณฑ์ค่าบริการหรือค่าอื่น ใด และวิธี การที่ผู้ประกอบธุรกิจกำหนดเพื่อใช้ชำระ ค่าสินค้า แทนการชำระด้วยเงินสดหรือเพื่อใช้เบิกถอนเงินสด แต่ไม่รวมถึงบัตรที่ ได้มีการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือค่าอื่นใดไว้ล่วงหน้าแล้ว

ที่มา : สยามธุรกิจ

|
0

บัตรเครดิต ดี อย่างไร..?

บัตรเครดิต
สถานการณ์ เศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง หมุนเงินไม่ทัน และแน่นอน ทางออกของหลายท่านส่วนใหญ่คงจะหนีไม่พ้นการใช้บริการจากบัตรเครดิต ต่าง ๆ ในการจับจ่ายใช้สอยกันแบบเดือนชนเดือน ส่วนอีกหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่มีบัตรเครดิต ก็อาจจะกำลังศึกษาหรือลองหาทางสมัครบัตรเครดิต มาใช้สำหรับยามฉุกเฉินหรือในยามจำเป็น

บัตรเครดิต คือ อะไร ?
บัตรเครดิต หรือ บัตรสินเชื่อ เป็นบริการที่สถาบันทางการเงินต่างๆ ออกให้แก่ลูกค้า เพื่อใช้จ่ายแทนเงินสด บัตรเครดิต ที่รู้จักกันเช่น วีซ่า มาสเตอร์การ์ด เจซีบี อเมริกันเอกซ์เพรส ดิสคัฟเวอร์ และ ไดเนอร์สคลับ สามารถใช้ได้ตามจำนวนวงเงินบัตรที่อนุมัติหักออกด้วยค่าสินค้า และบริการที่ ใช้จ่ายผ่านบัตร ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และหนี้สินคงค้างที่ยังไม่ได้ชำระ

ประวัติของ บัตรเครดิต
ประวัติของ บัตรเครดิต : บัตรเครดิต ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาปี ค.ศ. 1914 โดยบริษัทเยอเนอรัลปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น ออฟแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันคือบริษัท โมบิลออยส์ จำกัด โดยทำบัตรดังกล่าวให้กับลูกค้า และพนักงานของตน ที่ได้รับเลือกสรรแล้ว และนำไปชำระค่าน้ำมัน ตอนนั้นบัตรเครดิตนี้จะมีลักษณะเหมือนกับเหรียญโลหะ ต่อมาราวค.ศ. 1950 นายแฟรงค์ แมคนามารา (Frank McNamara) ซึ่งเป็นนักธุรกิจเกิดลืมพกกระเป๋าเงินติดตัวไปทานอาหาร และไม่มีเงินจ่าย ต้องให้ภรรยานำเงินมาชำระให้ จึงคิดว่าถ้ามีบัตรพิเศษที่ใช้แทนเงินได้ ก็จะดี จากนั้นก็ปรึกษากับนายราล์ฟ ชไนเดอร์ (Ralph Schncider) ซึ่งเป็นทนายความ และได้สร้างบัตร ไดเนอร์สคลับ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการแทนการชำระเงินโดยตรง ภายหลังได้มีบริษัท อเมริกันเอกซ์เพรส ได้ออกบัตรเครดิต โดยมีวัตถุประสงค์ ในครั้งแรกเพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก โดยได้นำเสนอบัตรที่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารต่างๆ

การทำงานของ บัตรเครดิต
การทำงานของ บัตรเครดิต คือ ผู้ใช้สามารถนำบัตรมาซื้อ สินค้าและบริการได้ตามวงเงินที่ธนาคารอนุมัติ หลังจากผู้รับบริการได้บัตรเครดิตแล้ว ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจะต้องเช็คยอดที่จ่ายกับทางธนาคารก่อนและจะได้รับ รหัสอนุมัติจากธนาคาร ในสมัยก่อนจะเป็นเครื่องรูดบัตร ร้านค้าต้องโทรศัพท์ไปที่ธนาคาร แต่ตอนนี้มีเครื่องรูดบัตรที่จะออนไลน์กับธนาคาร เพื่อให้ได้รหัสอนุมัติเลย จากนั้นก็จะนำสลิปไปให้เจ้าของบัตรเซ็นชื่อ เพื่อส่งให้ธนาคารตรวจสอบว่าเป็นเจ้าของจริงๆ ปัจจุบัน บัตรเครดิต นอกจากจะเป็นที่นิยมในการซื้อสินค้าตามราคาทั่วไปแล้ว ยังนิยมมาใช้ในการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตอีกด้วย

เมื่อมีการซื้อขาย บัตรเครดิต ผู้ใช้บัตรเครดิต จะแสดงความสมยอมว่าการซื้อขายนั้นได้เกิดขึ้นจริงด้วยการ เซ็นใน ใบเสร็จ หากเป็นการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้อาจจะกรอกราย PIN Number และหมายเลขบัตรเครดิต เพื่อเป็นการแสดงความจำนงในการซื้อขาย

ขณะนี้ได้มี บัตรเครดิต แบบใหม่ ที่จะใช้ทาบกับเครื่องอ่าน โดยอาศัยหลักการของคลื่นวิทยุ จึงไม่ต้องมีการนำแถบแม่เหล็กไปสัมผัสกับเครื่องอย่างระบบเก่า ทำให้เพิ่มความรวดเร็วในการทำรายการ และเหมาะกับการชำระเงินจำนวนน้อยๆ

ที่มา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

|

Copyright © 2009 บัตรเครดิต All rights reserved. Theme by Laptop Geek. | Bloggerized by FalconHive.